การวิจัยพัฒนาพันธุ์โกโก้ ในประเทศไทย ที่ทำให้เกิดพันธุ์ชุมพร
ในประเทศไทยมีการค้นคว้าวิจัยพัฒนาพันธุ์โกโก้ตั้งแต่ปี 2524 โดยผานิต (2536) รายงานว่ามีการเปรียบเทียบพันธุ์โกโก้ลูกผสมจากประเทศมาเลเซียที่ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร จำนวน 14 สายพันธุ์ เพื่อคัดเลือกพันธุ์ที่ดีที่สุดสำหรับการพัฒนาในประเทศไทย พบว่าโกโก้ลูกผสม Parinari 7x Nanay 32 (Pa7 x Na32) เป็นลูกผสมที่ดีที่สุดทั้งในด้านการให้ผลผลิตและคุณภาพของเมล็ด จึงถูกตั้งชื่อว่า "โกโก้ลูกผสมชุมพร 1" และได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองพันธุ์พืชตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของโกโก้ลูกผสมชุมพร 1
- ใบกว้างเฉลี่ย 12.4 ± 1.9 ซม. ยาวเฉลี่ย 34.1 ± 5.0 ซม.
- ดอกมีสีเขียวอ่อน ขนาดเท่าหัวเข็มหมุด ก้านดอกยาวประมาณ 1.5 ซม.
- ผลป้อมไม่มีคอ ผิวผลเรียบ ร่องค่อนข้างตื้น
- เมล็ดมีเนื้อเป็นสีม่วง ขนาดตามมาตรฐานสากล (ไม่เกิน 110 เมล็ด/น้ำหนักแห้ง 100 กรัม) และมีเปอร์เซ็นต์ไขมันสูงประมาณ 57.27%
- ผสมเกสรแบบข้ามพันธุ์ และเริ่มตกผลในปีที่ 2 หลังจากปลูก
ข้อดีของโกโก้ลูกผสมชุมพร 1
- ให้ผลผลิตเมล็ดโกโก้แห้งสูงสุดตลอด 13 ปี สูงกว่าพันธุ์ที่เกษตรกรปลูกประมาณ 31.4%
- ผลผลิตสม่ำเสมอตลอดเวลา
- เมล็ดขนาดตรงตามมาตรฐานสากล
- เปอร์เซ็นต์ไขมันสูง
- ทนทานต่อโรคกิ่งแห้งและโรคผลเน่าดำ
การรวบรวมพันธุ์โกโก้เพื่อการวิจัย
นอกจากโกโก้ลูกผสมชุมพร 1 แล้ว ยังมีการรวบรวมพันธุ์โกโก้จากหลายประเทศตั้งแต่ปี 2523 เพื่อใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมสำหรับการผลิตโกโก้ลูกผสมอื่น ๆ ในอนาคต
- จากมาเลเซีย: AML, Na32, Na33, Na34, Pa7, Pa35, Sca 6, Sca12, UIT1, UIT2
- จากสหรัฐอเมริกา: EET 308, GC29, ICS6, ICS40, ICS 95, IMC 47, MOQ 417, P2, P19, P26, Playa-alta 4, Sca9, UF 667, UF676
- จากอังกฤษ: BE3, BE10, CC11, ICS 16, ICS100, LCT EEN162-1010, LCT EEN163A, Pa107, SC1, SPEC 54-1
การวิจัยและพัฒนาพันธุ์โกโก้ในประเทศไทยมีความสำคัญต่อการปรับปรุงพันธุ์และการเพิ่มผลผลิตโกโก้ เพื่อให้เกษตรกรมีพันธุ์โกโก้ที่ดีและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้